วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บันทึกประจำวันที่ 8 (วันอังคารที่ 7 เมษายน 2552)

วันอังคารที่ 7 เมษายน 2552 [ดูกาย ดูใจ]

วันนี้เข้ากรรมฐานเหมือนเดิม พระอาจารย์สอนเพิ่ม step การเดิน
มากขึ้น
step 1 ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ
step 2 ยกหนอ เหยียบหนอ
step 3 ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
เสร็จแล้วก็มานั่งต่อ

ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อสู้กับความเจ็บ ความปวดในการนั่ง
ก็ได้ฝึกเยอะเลย รู้สึกก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นนึง รู้จักวิธีต่อสู้
กับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เริ่มเกิดปัญญา คิดจัดการกับมัน

ขณะฝึกก็พยายามแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลไปด้วย
ก็รู้สึกดีมากๆ ขอให้อาม่า อางกง อากุ๊ง อาเตี๋ย ญาติๆทั้งหลาย
มาม๊า ปาป๊า ได้รับส่วนบุญ ส่วนกุศลที่ได้ปฏิบัตินี้ แล้วก็ขอให้
พี่แป้งหายป่วย สุขภาพแข็งแรงขึ้นๆ ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงรับ
ส่วนบุญ ส่วนกุศลเหล่านี้ แล้วเลิกจองเวร อโหสิ ไปสู่สุคติเป็นสุขๆเถิด

ถึงวันนี้ก็ถือว่าครึ่งนึงแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน
เวลาเหลือไม่มาก ต้องตั้งใจต่อไป เต็มที่กับชีวิต ชีวิตเกินร้อย M150!

ปล. วันนี้มีเรื่องตลกนิดนึงคือ เมื่อวานพระอาจารย์บอกว่าวันนี้ไม่ต้อง
เก็บกับข้าวเพลไว้ เพราะมีคนจะเลี้ยงเพล ตอนแรกก็ลืม
เก็บกับข้าวมาแล้ว แต่นึกขึ้นได้ตอนพักหลังฉันเช้า เลยเอากับข้าว
ไปให้เด็กวัดซะ พอถึงเวลาเพลเข้าจริงๆ พระอาจารย์ก็บอกว่า
งานเข้า จำผิดวัน ต้องวันพรุ่งนี้! เลยได้ไปเอากับข้าวในกะละมัง
มาใหม่ [จงอยู่ง่ายกินง่าย] ท่านอื่นๆ ไปต้มมาม่ากันเป็นแถวเลย

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

สมาธิเริ่มดีขึ้น ดีขึ้น

ดูกาย ดูใจ สงบ ระงับ
แยกกาย แยกใจออกจากกัน

นั่งสมาธิแบบ กำหนดจิตแยก เฝ้ามองดูกาย ดูความคิด
เฝ้าอยู่กับตัวเอง

ความเจ็บ ความปวดที่เกิดขึ้นทั้งหลาย มันเกิดขึ้นกับกาย
เราทุกข์เพราะ จิตเรารับเอาความเจ็บปวดมาปรุงแต่ง
ถ้าจิตเราปล่อยให้ความเจ็บปวดนั้น อยู่แค่ที่กาย
เราก็ไม่ทุกข์

"เวลากราบพระไม่ขอพร เพราะช่วงเวลาที่จิตปราศจากความอยาก
มันช่างสะอาดเหลือเกิน"

การอธิษฐานคือการตั้งใจ ไม่ใช่การขอ

นอนทำสมาธิ ผ่อนคลาย ก่อนหลับเพื่อหลับสบาย

บันทึกประจำวันที่ 7 (จันทร์ที่ 6 เมษายน 2552)

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2552 [เริ่มมีอะไรในการนั่งสมาธิ]

ทำสมาธิหลังทำวัตรเย็นวันนี้ พระอาจารย์สอนให้สู้กับความเจ็บปวด
ก็เกิดความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยคือ การต่อสู้กับความเจ็บปวดท่องว่าปวดหนอ ปวดหนอ
แล้วจับความรู้สึกไปที่จุดที่ปวด(หลัง) กำลังเข้มข้น พอดีพระอาจารย์
ให้หยุดซะก่อน ทีแรกหยุดไม่ได้เพราะรู้สึกว่าถ้าหยุด จะแพ้ความเจ็บปวด จะปวดเยอะ
ก็รุ้สึกเหนื่อยเหมือนกัน เดี๋ยวคืนนี้ต้องไปลองทำต่อว่าจะเป็นยังไงอีกบ้าง

ส่วนวันนี้ตอนเช้า พระอุปัชชา (เจ้าอาวาส) ก็มาให้โอวาส
เรื่องการทำกรรมฐานเล็กน้อย แล้วก็ไปเรียนกรรมฐานได้แป๊บนึง
ก็ฉันเพล พอตอนบ่ายฝนตกแรงมาก น้ำท่วมถังขยะล้ม
ขยะลอยเลย รองเท้าก็ลอยเหมือนกัน ดีนะที่เก็บไว้ก่อนทัน

กรรมฐานวันนี้เป็นวันแรก พระอาจารย์ก็สอนพื้นฐานหลายๆเรื่อง
เรื่องการตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งใจเข้าฝึกกรรมฐาน วิธีการทำกรรมฐาน
ท่ายืน เดิน นั่ง การบริกรรมเบื้องต้น การดูจิตดูใจ
การต่อสู้กับความเจ็บปวด เวลาฝึกในชม.เรียนมีไม่มากเท่าไหร่
คงต้องเอามาฝึกเองก่อนนอน น่าจะดีที่สุด

ก็อารมณ์ความตั้งใจ ก็กลับมาแล้ว ต้องตั้งใจมากๆ
ญาติดยมจะได้ได้บุญเยอะๆ ก็ขอให้อากุ๊ง อาม่า ได้รับอานิสง
นี้ อยู่อย่างร่มเย็นในภพที่ท่านอยู่ ขอให้ป๊าม๊าได้รับอานิสง มีความสุข
มากๆ และก็ขอให้พี่แป้ง หายป่วยจากโรคทั้งหลายเร็วๆ าธุ

ทำสมาธิก่อนนอนวันนี้ ต่อสู้กับความเจ็บปวดให้ถึงที่สุด!!!
- ท่า ยืน นั่ง นอน --> หลับไปในท่านอน

------------------------------------------------------------------------------------

ตรัยสรณะ - ที่พึ่งทั้ง 3
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต
ผู้ใดไม่เห็นธรรม แม้จะจับจีวรอยู่ ผู้นั้นก็ไม่เห็นเรา ตถาคต

คนที่ชอบดูภายนอก สง่า ราศรีของพระพุทธเจ้า
ท่านว่า เห็นแต่ร่างกายที่เน่าเปื่อยพุพังของท่าน ไม่ได้ประโยชน์อะไร

การกราบไหว้พระพุทธรูปเพราะสวยงาม เท่ากับรู้จักแค่เปลือก
เพื่อคลัง เพื่อ ศักดิ์สทธิ์ก็แค่เปลือกเหมือนกัน

การทำสมาธิในหลายๆ อิริยาบท
เดิน
นั่ง
ยืน - พิจารณาปลายเท้าจรดปลายเส้นผม ปลายเส้นผมจรดปลายเท้า
นอน - ให้รู้สึกตัว มีสติว่าหลับไปตอนไหน หายใจเข้า หรือ หายใจออก

ความเจ็บปวดตอนกรรมฐาน มีวิธีจัดการอยู่ 2 วิธี
หลีกเลี่ยง - ปล่อย ไม่สนใจความเจ็บปวด ไปสนใจที่จุดอื่นแทน
สู้กับมัน - เอาความรู้สึกไปจับที่จุดทื่ปวด ปวดหนอ ปวดหนอ
ยิ่งสู้ก็จะยิ่งปวด ให้ปล่อยวางให้ได้ ไม่ได้นั่งให้หายปวด แต่นั่งให้หายทุกข์กับความปวดให้ได้

หลังทำสมาธิ จิตจะเป็นกุศลมาก ให้รีบแผ่เมตตา หลังทำสมาธิทุกครั้ง

---------------------------------------------------------------------------------------

การฝึกกรรมฐานในวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เอาชนะความปวดที่หลังได้
หลังจากฝึกไป 2 - 3 วัน หลังจากนั้นพบว่า ความเจ็บปวดที่หลังขณะที่นั่งสมาธินั้น
หายไปแทบจะทั้งหมด ไม่ปวดอีกเลย

ทำให้เข้าใจเลยว่า คำว่าร่างกายมันปรับตัว มันเป็นยังไง
เมื่อเราต่อสู้กับมันจนถึงที่สุด ทำให้เราก้าวข้ามมันมาได้

การนั่งกรรมฐานในวันนี้ ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญ บทนึงในชีวิตเลยทีเดียว
^^

บันทึกประจำวันที่ 6 (อาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552)

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552 [วันอาทิตย์ - วันพระวัดชลประทาน]

แป๊บเดียววันอาทิตย์แล้ว ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย
วันนี้ไม่มีเรียน ตอนเช้าบิณฑบาตร หลวงพี่เมไม่ได้มา ก็เป็นคนเดินนำบิณฑบาตรเองเลย
จำทางได้แล้วก็สบาย ออกตั้งแต่เช้าเลย โยมบางบ้าน ยังไม่เปิดเลย แต่ส่วนใหญ่
ก็ออกมารอกันตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ขยันมากโยม อนุโมทนา พอกลับมาก็นั่งที่ลานหินโค้ง
ฟังธรรมะ ฉันเช้า เสร็จกลับกุฏิ ล้างบาตรแล้วก็ออกมาที่ลานหินโค้งอีก

วันนี้ก็ไม่ค่อยฟุ้งซ่านแล้ว เริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มมีสมาธิดีขึ้น
ทำวัตรเช้า-เย็นวันนี้วันแรกเลยที่ทนนั่งคุกเข่าได้ตลอดรอดฝั่ง ก็รู้สึกดีที่ทำได้
(ส่วนนึงที่ทำได้เพราะท่านแบงค์บอกว่าท่านทำได้ เราเลยฮึดว่าเราก็น่าจะได้)
เวลาสวดอย่างตั้งใจ สวดก็ไม่น่าเบื่อเลย กลับรู้สึกสนุกขึ้นมา
ที่ได้สู้กับความอดทน และได้ยินดีกับความสำเร็จเล็กๆที่ชนะตัวเองได้ด้วย

ตอนบ่ายไม่มีเรียน เลยว่างมาก นอนไปฟักนึง พอตื่นก็ไม่อยากจะนอนต่อ
เลยมานั่งอ่าน หนังสือหลวงพ่อปัญญาที่ท่านสอนพระนวกะไว้ ได้ความรู้หลายอย่างเลย
"มีเวลาว่าง อย่านอน" จำไว้ๆๆ

พรุ่งนี้จะเข้ากรรมฐานแล้ว น่าจะลำบากพอดูอยู่ ต้องพยายามตั้งใจ
ทำให้ดี ให้ได้บรรลุ เกิดผลอะไรซักอย่างขึ้นให้ได้

----------------------------------------------------------------------------------------

การสวดมนต์คือ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ตุณของพระธรรม และ คุณของพระสงฆ์
สวดมนต์แปล อย่างตั้งใจ ได้ทั้ง ศีล สมาธิ และ ปัญญาครบเลย
สวดมนต์ยังเป็นการภาวนาอย่างนึง เป็นบุญที่ดีที่สุดด้วย

การกราบพระพุทธรูป คือกราบคุณความดีของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่กราบเพราะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อะไร
แต่กราบเพื่อระลึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรมของท่าน
เพื่อเตือนใจตนเอง

พระพุทธรูป , พระเครื่อง มิได้มีเพื่อศักดิ์สิทธิ์

พระพุทธเจ้าก่อนประรินิพพาน ได้ตรัสไว้ว่า ให้ธรรมะเป็นศาสดาของ
เธอต่อไป ไม่ได้ให้พระพุทธรูปเป็นศาสดา

ก่อนนอน นั่งสมาธิ สงบใจให้นิ่งก่อนนอน

บันทึกประจำวันที่ 5 (เสาร์ที่ 4 เมษายน 2552)

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2552 [เริ่มจะฟุ้งซ่าน]

วันนี้ฟุ้งซ่านแต่เช้าเลย ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร คิดนู่นคิดนี่ตั้งแต่เช้า
บิณฑบาตรมาเสร็จ มานั่งที่ลานหินโค้ง เห็นโยมเต็มเลย ก็พยายามไม่มองแล้วนะ
แต่มันก็ไปเห็นเอง ก็เริ่มจะฟุ้งซ่านๆ ก็ไปเรียนเช้า ไม่ค่อยจะเข้าหัวเลย

พอเที่ยงฉันเพลเสร็จ ก็ชวนท่านพระแบงค์ไปนั่งอ่านหนังสือ
ที่กลางลานสี่เหลี่ยม อ่านได้พักนึง ท่านก็ขอตัวไปเข้าฌานขั้นสูง
เราก็นั่งสมาธิไป ได้แค่ 10 นาทีก็ฟุ้งซ่าน ง่วงนอนอีก
ก็เหลือเวลาอีก 15 นาที ก็เลยมาเอนนอน เกิดหลับไปเลย แล้วตั้งปลุกไว้
ก็ไม่ตื่น เกือบจะสายเลย แล้วก็งัวเงียๆ เรียนๆไปเรื่องพระคุณของ พ่อ แม่
ก็ไม่ค่อยอินไม่ค่อยเข้าหัวเท่าไหร่ เอื่อยๆไปเลย (แต่บางท่านเห็นร้องไห้กันเลย)
ตอนบ่ายแก่ๆ ก็ฝนตกลงมาอีก เลยไม่ได้กวาดลานวัดอีกแล้ว
ก็เลยได้ไปล้างห้องน้ำอีกวัน

พอมาประชุมเย็น พระอาจารย์กลับมาไม่ทัน เลยว่างซะงั้น
นั่งคุยกับท่านแบงค์ เรื่องผีๆไป o.o น่ากลัวนิดหน่อย
แต่อยากรู้ อยากเห็นมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เอามาเป็นสาระอะไรมากมาย
เดี๋ยวก่อนนอนต้องทำสมาธิ สงบจิตให้ได้ซักหน่อย
เวลาฟุ้งซ่านยังมีอีกมาก เวลาบวชเหลือไม่มาก ต้องตั้งใจ

--------------------------------------------------------------------------

ไหว้ตัวเองให้ได้
ทำดีให้มากพอ

นอนกลางวัน - เอื่อยไปทั้งวัน
มีเวลาว่าง ห้ามนอน!!!

ตั้งใจให้ดี พยายามตั้งจิต ทำให้มันได้

อย่าพึ่งล้า ต้องสุดๆ ให้ถึงที่สุด

ก่อนนอนทำสมาธิได้เล็กน้อย

บันทึกประจำวันที่ 4 (ศุกร์ที่ 3 เมษายน 2552)

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2552 [ว่างแล้วอย่าอยู่เฉยๆ]

วันนี้เป็นวันที่กิจกรรมเยอะมาก เรียกว่าแน่นตลอดวัน ขนาดยังไม่ได้ทำวัตรเช้า
(จริงๆก็แน่นเพราะไม่อยากอยู่ว่างเองด้วย)
ตั้งแต่ตี 5 ก็ออกไปบิณฑบาตร ต้องเริ่มจำทางเพราะหลวงพี่ที่เดินนำจะไม่อยู่ 2 วัน
ก็คิดว่าพอจำได้แล้ว บิณฑบาตร ก็เห็นชาวบ้านที่ใส่บาตร ตั้งใจกันมากๆ
ต้องยิ่งตั้งใจเป็นเนื้อนาบุญที่ดียิ่งๆขึ้นไป

ตอนเช้าเรียนวินัยสงฆ์ต่อ ก็รู้เรื่องกฎระเบียบมากขึ้น
เพื่อจะได้รักษาวินัยได้บริสุทธิ์ ยิ่งขึ้น

ตอนเที่ยงพอมีเวลา เลยอ่านหนังสือสมาธิดู(เผื่อจะมีวิธีสงบใจได้ดีขึ้น)
ก็อ่านหนังสือรวมวิธีทำสมาธิแบบอาปานสติ ของท่านพุทธทาส
สรุปได้วิธีปฏิบัติมา 4 ขั้น
เลยลองนั่งดูที่กลางลานกุฏิสี่เหลี่ยม ก็รู้สึกว่าสบายกว่าเมื่อวาน รู้สึกมีสมาธิดี
พอใกล้ๆเวลาก็ไปเรียนต่อ มีเรื่องปลงอาบัติด้วยวันนี้ ต้องปลงทุกวัน
ตอนบ่าย เลิกเรียน พระอาจารย์แบ่งหน้าที่ให้แต่ละกลุ่มไปทำความสะอาด
ในบริเวณวัดก็แบ่งๆหน่าที่กันไป กลุ่มเราได้ไปกวาดถนน แต่พอดีว่าฝนตกลงมา
ไม่ต้องไป เลยไปล้างห้องน้ำแทนดีกว่า (ตาม concept ว่าว่างแล้วอย่าอยู่เฉยๆ)
ก็รู้สึกดีมาก ล้างห้องน้ำจริงๆก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ทำกันหลายคน แป๊บเดียวก็เสร็จ

พอ 5 โมงเย็นก็ขึ้นไปเรียนต่อ เรื่อง ศีล เรื่องศาสนพิธี
เสร็จแล้วก็ได้ทำวัตรเย็น เป็นวันแรก

คุกเข่านานมาก ตอนแรกก็ทนคุกเข่าไป พอนานๆชักไม่ไหว
เลยคุกเข่าแบบราบลงไปกับพื้น ตอนเปลี่ยนท่า ชาเลย
นั่งอยู่ได้ประมาณ 20 นาทีได้ พระอาจารย์ถึงให้เปลี่ยนเป็นพับเพียบ O.O
แปลว่าจริงๆ ต้องคุกเข่าเต็มๆ เกือบครึ่งชม.!!!

พอจบ พระอาจารย์ให้นั่งสมาธิต่อ 5 นาที จริงๆควรจะสบายๆ เพราะ
ว่าแป๊บเดียวเองเมื่อวานนั่งเองนานกว่านี้ตั้งเยอะ
แต่วินาทีนั้น นานมาก ทำสมาธิไม่ได้เลย ปวดหลังสุดๆ ปวดขา ปวดท้องด้วย
(อันหลังนี่สำคัญสุดๆ) พอเลิกมาก็เหนื่อยสุดๆ ปลงอาบัติแล้วเอนหลังเลย
แต่ไม่ไหวเหนียวมาก เลยไปสรงน้ำแล้วกลับมา
คงนั่งสมาธิได้ไม่นานมาก แต่ก็ต้องตั้งใจละนะ ต้องตั้งใจๆ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

สมาธิ 4 ขั้น [อานาปานสติ]
- ตามดูลมหายใจ (จมูกถึงสะดือ สะดือถึงจมูก)
- เฝ้าดูลมหายใจ
- สร้างนิมิต / เปลี่ยนรูปนิมิตได้ตามใจ
- เกิดปฐมฌาน
* ต้องพยายามทำให้ได้ ตั้งใจศึกษา ปฏิบัติตามนี้

ช่วงกลางวัน
สมาธิวันนี้ ดีกว่าวันก่อนขึ้นมาอีกนิด รู้สึกสบายกว่าเมื่อวาน
คิดว่าน่าจะค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ

แต่ช่วงทำวัตร สมาธิไม่ดีเลยอาจเป็นเพราะหลายๆอย่าง
ปวดท้อง
ไอ กังวลเรื่องคอ
เปียกฝนมาด้วยส่วนนึง
คุกเข่า + พับเพียบมานาน ---> ปวดหลังมาก
ต้องฝึกต่อไป

ก่อนนอนวันนี้ น่าจะทำสมาธิได้ไม่นานมากเท่าไหร่
เพราะวันนี้ดูจะเหนื่อยมามาก วันต่อๆไปน่าจะดีขึ้น (ชิน)
ตั้งไว้ประมาณ 30 นาที

เริ่มๆกังวลถึงพี่แป้งนิดๆ
แหะๆ ตั้งใจๆ

บันทึกประจำวันที่ 3 (พฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2552)

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2552 [บิณฑบาตร วันแรก]

เป็นวันแรกที่ออกบิณฑบาตร หลวงพี่เดินนำ ท่านเดินเร็วมาก
เดินจ้ำๆตาม พอจะทันอยู่ แต่หลวงพี่ข้างหลังตามไม่ทัน เลยกลายเป็น
เดินอยู่ห่างพอสมควร มีให้พรเล็กน้อย บทสั้นๆ (แต่พอมาเรียนพระวินัย
ช่วงบ่าย พระอาจารย์บอกว่า ห้ามให้พร ซะงั้น - ดูในหนังสือนวโกวาท
ก็มีห้ามไว้จริงๆด้วย - -") เดินไปไกลทีเดียว ชาวบ้านที่ใส่บ้าน ดูเหมือน
จะเป็นชาวบ้านที่ใส่กันทุกวันเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องลุ้นเลยว่าจะมี
โยมมาใส่มั้ย เพราะของเยอะมาก มีจุดแวะพักถ่ายของลงกลางทาง แล้วมีรถตู้
ช่วยขนของกลับด้วย O.O พอกลับมาก็ฉันเช้าที่ลานหินโค้ง
เฉพาะที่ลานหินโค้งก็โยมเพียบเลย อาหารเยอะมาก

ตอนบ่ายไปเรียน อ้อ ตอนเช้าก็มีเรียนเล็กน้อย แต่ไม่นาน
ก็เรียนห่มจีวรอีก เป็นครั้งที่ 3 ^.^" ตอนบ่ายเข้าเรียนเรื่องวินัยสงฆ์
แจกหนังสือ นวโกวาท น่าจะเล่มเดียวกับที่เคยเรียนสมัยที่เรียนที่วัดราชบพิธ
(สำหรับนักธรรมตรี) จำได้ว่าตอนนั้นเรียนไม่รู้เรื่องเลย จำอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้มาเรียนอีกที เริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้น ก็เรียนเกี่ยวกับ
วินัยของพระสงฆ์ บวกกับมาอ่านเองต่ออีกหน่อย ก็เลยรู้เลยว่า ทำผิดไปเพียบเลย

วันนี้กลางวันมีเวลาเยอะเลยเอาบทสวดอนุโมทนามาท่องเพิ่มซะหน่อย
พอกล้อมแกล้มได้แล้วตอนที่เรียนพระวินัยอยู่ หลวงพี่ข้างๆ มาท่องๆ ถามๆอะไร
เลยบอกไปว่าท่องได้แล้ว (ยังไม่ค่อยคล่องหรอก ประมาณว่าโชว์พาว!) แล้วมารู้สึกว่า
ไม่น่าไปอวดอ้างเลย แสดงว่าเรายังยึดติดอยู่เยอะ คงต้องค่อยๆฝึก
ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา!

ตอนเย็นเป็นประชุม เรื่องแบบทั่วๆไป ก็ได้หนังสือมาอีก 4 เล่ม
หนาเตอะ (ไม่น่าแบกหนังสือมาจากบ้านเยอะเลย ฮาๆ)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่อวดอ้าง ไม่ยินดียินร้าย ปล่อยวางให้ได้

หลักสำคัญ 3 ประการ
ศีล สมาธิ ปัญญา

การทำบุญ 3 วิธี
ทาน - การให้ การทำบุญทั่วไป ทำได้ง่าย ให้ผลน้อยที่สุด
ศีล - การรักษาศีล
ภาวนา - การฝึกจิตใจ ให้ผลมากที่สุด

มีเวลาว่าง อย่านอน
กรรมฐาน
ท่องบทสวด
อ่านหนังสือ หาความรู้ เพิ่มเติม

สมาธิวันนี้ ตั้งไว้ 1 ชม.ก่อน ถ้าไหวก็ต่อเท่าที่ไหว
นั่งได้ประมาณ 20 นาที
ฝนจะตก ฟ้าร้องเลยออกไปเก็บผ้าที่ตากไว้
แล้วกลับมานั่งต่อไม่ได้แล้ว

บันทึกประจำวันที่ 2 (พุธที่ 1 เมษายน 2552)

วันพุธที่ 1 เมษายน 2552 [วันบวช - เป็นพระวันแรก]

ช่วงเช้าแต่งชุดขาวเป็นนาคอยู่ กินข้าวต้มตอนตี 5 แล้วก็ออกมา
ที่ลานหินโค้ง เอาบาตรกับผ้าไตรไปขอขมาบิดา มารดา
แต่เสียดายมากที่มะม๊าไปเอาซาลาเปาตอนเช้า เลยมาไม่ทัน
เลยได้กราบขอขมาแค่ปะป๊า ขออโหสิกรรม น้ำตาซึมๆ เสียงสั่นๆ ^^
ป๊าก็บอกว่า ป๊าอโหสิให้ ป๊าดีใจ ขอให้เจริญในพระธรรม

แล้วก็กล่าวคำขอบวช(ที่ท่องกันมาเป็นอาทิตย์) เสร็จแล้วก็เปลี่ยนชุดเป็นผ้าเหลือง ^_^
บวชเป็นสามเณรก่อน วันนี้พิธีการทั้งวันเลย

แล้วก็มีเลี้ยงเพลกัน อาหารเยอะมากๆๆๆ ฉันไม่หมด เยอะจริงๆ
ก็ขออนุโมทนา สาธุ กับญาติโยมทุกคน ขอให้บุญกุศลที่กระทำมา
ส่งผลถึงญาติโยมทั้งที่ยังอยู่ ทั้งที่ล่วงลับ ทั้งที่มา ทั้งที่ไม่ได้มา สาธุ

ตอนบ่ายก็ฝึกห่มจีวร แล้วก็เข้าโบสถไปขอบวชเป็นพระ
ตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะต้องขึ้นเป็นชุดแรกเลย เจ้าอาวาสท่านน่ากลัว
เล็กน้อย แหะๆ แต่จริงๆท่านใจดี คอยบอกตลอด

หลังจากเป็นพระแล้ว ก็ได้พระอาจารย์สอนสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ทันที 8 ข้อ
สิ่งที่ควรทำ 4 อย่าง
1. ใส่จีร ผ้ากาสายะ (ผ้ามัดย้อม)
2. อยู่โคนไม้
3. ฉันบิณฑบาตร
4. กินยารักษาโรค

กับสิ่งที่ห้ามทำ 4 อย่าง(ปราชิก)
1. ฆ่าคนตาย
2. เสพเมถุน
3. ลักขโมยโดยเจตนา
4. อวดอ้างอุตริ (อ้างอิทธิฤทธิ์ที่ไม่มีในตน)

สุดท้ายตอนค่ำก็ตระเตรียมเรื่องบิณฑบาตรพรุ่งนี้ วิธีการหิ้วบาตร
วิธีรับของ จะไปกับพระพี่เลี้ยง 2 รูป คือ หลวงพี่เม กับหลวงพี่เบียร์

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ตั้งใจทำให้เต็มที่
ตั้งแต่วันนี้ ก่อนนอน ถ้าไม่ดึกจนเกินไป
จะนั่งสมาธิ ฝึกจิต ฝึกใจก่อนนอนทุกคืน

วันที่ 1 ตั้งใจไว้ 1 ชม.
ทำได้จริง 45 นาที
ปวดหลังมาก เมื่อยขามาก
จิตใจไม่ค่อยสงบเท่าไหร่
กังวลอยู่กับความเมื่อยล้า